top of page
ค้นหา

"สิ่งที่บอยแบนด์เกาหลีสามารถสอนเราเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ 4.0"

อัปเดตเมื่อ 18 ก.พ. 2563

กล่าวถึงการถึงโพลผู้อ่านของของนิตยสารอเมริกาอย่าง TIME ที่ BTS สามารถเอาชนะผู้แข่งขันอย่าง Planet Earth หรือประธานาธิบดีสหรัฐดอนัลด์ ทรัมป์ได้

แต่ BTS คือใคร? อืม...นอกจากปีที่ผ่านมาคุณจะไปอยู่หลังเขา (อย่างผม) คุณก็ไม่น่าจะถามคำถามนั้นถึง K-pop ที่ได้อันดับ 1 สองอัลบั้มบน Billboard Top 200 ชนะจัสติน บีเบอร์ในชาร์ต Top Social Artist of 2018 และเป็นศิลปินที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโลก

ree

ผู้เขียนแปลกใจในความสำเร็จระดับโลกของ BTS เพราะเพลงส่วนใหญ่ของพวกเขาร้องในภาษาเกาหลี ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตาม BTS ไม่ใช่กลุ่มเดียวที่ทำได้แบบนี้ ศิลปินลาตินอย่าง Fonsi (Despacito) และ Enrique Iglesias หรือศิลปินเกาหลีอย่าง Psy (Gangnam Style) ก็กำลังแสดงให้เห็นถึงการโลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรมที่ไม่ได้ทำให้เป็นแบบอเมริกัน (Americanization) เท่านั้นอีกต่อไปเช่นกัน

เขาเล่าย้อนไปถึงตอนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงช่วงปี 2000 ทิศทางของการโลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรมก็พุ่งเป้าไปยังจุดหมายเดียว นั่นคือภาษาอังกฤษและวัฒนธรรมอเมริกัน ขณะที่หลายประเทศในยุโรปกระทั่งช่วงทศวรรษที่ 1960 ยังคงได้รับอิทธิพลส่วนมากจากวัฒนธรรมฝรั่งเศสกระแสก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปจากปี 1945 ทหารอเมริกันไม่เพียงมายุโรปเพื่อรบ แต่ยังเอาโคคา - โคล่า ดนตรีแจ๊ส และความชื่นชอบหนังฮอลลีวู๊ดมาด้วย ในทวีปอื่นๆก็เช่นกัน การเพิ่มขึ้นของอำนาจทางเศรษฐกิจและทางการเมืองของอเมริกากลายเป็นการเพิ่มขึ้นของอิทธิพลทางวัฒนธรรม

แท้จริงแล้วขณะที่สังคมเอเชียและยุโรปมุ่งไปที่การสร้างใหม่ วัฒนธรรมอเมริกันก็ครองโลก Elvis Presley, Frank Sinatra, Marvin Gaye, Aretha Franklin และ James Brown เป็นผู้เริ่มเทรนด์ หลายทศวรรษผ่านไปกลายเป็นมีเพียงชาวอังกฤษ หรือศิลปินที่ใช้ภาษาอังกฤษอย่าง The Beatles และ Rolling Stones เท่านั้นที่สามารถก้าวไปกับอเมริกันชนได้อย่างแท้จริง

ทุกวันนี้ ไม่อาจปฎิเสธได้ว่าวัฒนธรรมที่โดดเด่นของโลกคืออเมริกัน ภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลทั่วโลกแทบจะไม่มีทางขาดภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ด (เช่น Avatar, Titanic หรือ Star Wars) อัลบั้มขายดีสูงสุดตลอดกาลส่วนมากเป็นของอเมริกัน (แม้ว่าวงดนตรีของออสเตรเลีย AC / DC และวง Pink Pink Floyd ของอังกฤษจะก้าวขึ้นมาท้าชิง Michael Jackson ก็ตาม) บริษัทโซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกัน และวัฒนธรรมอาหารที่ถึงแม้จะหลากหลายมากกว่า แต่ก็ยังคงได้รับผลกระทบจากแมคโดนัล โคคา-โคล่า สตาร์บัค และบริษัทเป็บซี่ วิวัฒนาการเหล่านี้จะเป็นไปไม่ได้หากปราศจากการเปิดกว้างทางโลกาภิวัตน์ของโลกเศรษฐกิจ และผลการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี อย่างเช่นช่วงปี 1960 การบินข้ามมหาสมุทรและการบันทึกวิทยุทำให้ The Beatles สามารถบินมาสร้างคลั่งไคล้ได้ในอเมริกา ทั้งช่วงปี 1990 และ 2000 การเปิดตลาดโลกและอินเทอร์เน็ตเปิดให้การตื่นรู้ทางวัฒนธรรมแพร่กระจายไปเร็วขึ้น

อย่างไรก็ตาม โลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรมมีราคาที่ต้องจ่าย หากมองในด้านภาษา นับแต่ยุคแรกของการโลกาภิวัตน์ ศตวรรษที่ 16 ยุคแห่งการค้นพบ จำนวนของภาษาที่มีการพูดกันทั่วโลกก็ลดต่ำลงเรื่อยๆจากราว 14,500 ภาษาก็ลดลงเหลือน้อยกว่า 7,000 ภาษา ปี 2007 จากรายงานของเดอะนิวยอร์กไทมส์ ครึ่งหนึ่งของ 7,000 ที่เหลืออยู่นั้นอยู่ในภาวะใกล้สาบสูญ และในปี 2017 WEF ก็เขียนถึงว่าเกือบ 1,500 ภาษามีผู้พูดเหลือน้อยกว่า 1,000 คน

องค์การยูเนสโกในฐานะที่เป็นองค์ด้านการการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมของสหประชาชาติชี้ไปที่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (Rio+20) ว่าการหลอมให้วัฒนธรรมเป็นหนึ่งเดียวกันก่อให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆด้วย โดยบอกว่า ในปี 2012 “ขณะที่ปรากฎการณ์นี้ส่งเสริมให้เกิดการผสานกันของสังคม แต่ก็อาจจะมาพร้อมกับการสูญเสียเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียอัตลักษณ์ การกีดกัน และแม้กระทั่งความขัดแย้ง” เกิดเป็นคำถามขึ้นว่า หรือชาวอเมริกากำลังปล่อยให้การโลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรมทำลายพวกเขาเองเหมือนระเบิดเวลาที่ถูกตั้งให้ฆ่าภาษา วัฒนธรรม และชีวิตมันเองอย่างเชื่องช้า กล่าวคือการโลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรมถูกมองว่าส่งผลเสียและเป๊นอันตราย อย่างไรก็ตามผลกระทบด้านบวกเองก็มีเช่นกัน เนื่องจากมีศิลปินที่โด่งดังมาจากแพล็ตฟอร์มบนอินเตอร์เน็ตอย่างยูทูปและทวิตเตอร์

โดยผู้เขียนบทความยกตัวอย่าง Luis Fonsi และ BTS ขึ้นมา ในกรณีของ Luis Fonsi กับเพลงฮิต Despacito เขาเป็นนักร้องเปอร์โตริโก้ที่ทำลาย 7 สถิติของกินเนสส์เวิลด์เรกคอร์ดส์ วิดีโอบนยูทูปของเขาเป็นวิดีโอแรกบนยูทูปที่มียอดวิวถึง 5 พันล้านวิวและเป็นเพลงที่มียอดสตรีมมากที่สุดทั่วโลก เขาแสดงให้เห็นถึงการมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมโลกผ่านภาษาสเปนและวัฒนธรรมคาริบเบียนซึ่งไม่น่าประหลาดใจอะไรหากพิจารณาว่ามีประชากรกว่า 437 ล้านคนที่พูดภาษาสเปนเป็นภาษาแม่ เมื่อเทียบกับผู้พูดภาษาอังกฤษจำนวน 372 ล้านคน


ree

แต่ในกรณีของ BTS เขายิ่งทึ่งเข้าไปอีก เพราะในขณะที่ภาษาสเปน ภาษาจีนแมนดาริน และภาษาอังกฤษติดอันดับ TOP3 ภาษาที่มีคนพูดมากที่สุดทั่วโลก แต่ภาษาเกาหลีนั้นไม่แม้แต่จะติดอยู่ใน TOP10 ทั้งประมาณหนึ่งศตวรรษก่อนยังเป็นดินแดนที่โดดเดี่ยว (Hermit Kingdom) ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ แม้กระทั่งตอนนี้เกาหลีก็ยังคงเศษเสี้ยวความโดดเดี่ยวนั้นไว้ ดูจากในกลุ่มเศรษฐกิจ G20 อย่างประเทศฝรั่งเศสและเยอรมัน เพลงที่ร้องเป็นภาษาอังกฤษนับแล้วมีเป็นเพลงฮิตจำนวนมากในปี 2017 

ขณะที่ในเกาหลีเพลงท็อปฮิตส่วนใหญ่ยังเป็นภาษาเกาหลี BTS เองก็ไม่มีข้อยกเว้น เพลงส่วนใหญ่ของพวกเขาส่วนมากร้องในภาษาเกาหลี และมีเนื้อเพลงบางส่วนเท่านั้นที่เป็นภาษาอังกฤษแต่กลับยังสามารถเป็นวงที่รับความสนใจในระดับโลกได้ ทั้งนี้ ความสำเร็จของพวกเขายังมาจากล่างขึ้นบน ด้วยการช่วยเหลือของแฟนๆมากมายที่อาสาช่วยเหลือแปลภาษา ใส่ซับในมิวสิควิดีโอและการแสดงของพวกเขาเป็นภาษาอังกฤษ แน่นอนว่าเราไม่สามารถสันนิตฐานว่าสิ่งใดเป็นจริงได้จากหลักฐานเป็นด้านเดียวที่เราพบเจอ ไม่ใช่เพียง Fonsi และ BTS เท่านั้นที่เปลี่ยนการโลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรมโดยลำพังแต่ยังมีองค์ประกอบอื่นๆด้วย เขายังเสริมว่า ถ้าหากบอยแบนด์จากดินแดนโดดเดี่ยว (Hermit Kingdom) หรือ BTS สามารถกลายเป็นบุคคลแห่งปี (จากโพลผู้อ่านของ TIME) ในเมืองหลวงทางเศรษฐกิจของโลกได้ โลกที่มีสังคมเอกวัฒนธรรม (Global Monoculture) ก็ยังอยู่อีกไกล


แปลสรุปจากบทความของ World Economic Forum

ความคิดเห็น


CONTACT ME

© 2019 by BTS Breaking News TH. Proudly created with Wix.com

Success! Message received.

bottom of page